ความเป็นมาของชาบูชาบู
ชาบูชาบู เป็นอาหารประเภทหม้อไฟของประเทศญี่ปุ่น ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปี ค.ศ.1952 โดยคุณมิชิโอะ มิยาเกะ (Michio Miyake) เจ้าของร้านอาหาร Suehiro ซึ่งดัดแปลงมาจากหม้อไฟของปักกิ่ง ประเทศจีน (涮羊肉) ซึ่งใช้เนื้อแกะ นำมาดัดแปลงโดยใช้เนื้อสัตว์ต่างๆ แทน เช่น วัว, หมู, ไก่, ปลา ฯลฯ นำมาแล่บางๆ แล้วนำลงไปแกว่งในน้ำซุปร้อนๆ ให้พอสุกได้ที่ แล้วจิ้มน้ำจิ้มกิน
คำว่า “ชาบู-ชาบู” เลียนมาจากเสียงของเนื้อที่แล่บางๆ คีบลงไปจุ่มในน้ำซุปแล้วส่ายมือไปมา ทำให้เกิดเสียงที่ได้ยินว่า “ชาบู-ชาบู”
ชาบูชาบูได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในประเทศญี่ปุ่น และแพร่กระจายไปทั่วโลก ในประเทศไทย ชาบูชาบูเริ่มได้รับความนิยมในช่วงปี ค.ศ.1980 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ชาบูชาบูเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับการรับประทานร่วมกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากสามารถรับประทานได้ทีละน้อยและหลากหลาย จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับการสังสรรค์หรือพบปะกับเพื่อนฝูงและครอบครัว
ส่วนผสมของชาบูชาบู
- น้ำซุป: น้ำซุปชาบูชาบูมีให้เลือกหลายแบบ เช่น น้ำซุปกระดูกหมู น้ำซุปกระดูกวัว น้ำซุปผัก เป็นต้น
- เนื้อสัตว์: เนื้อสัตว์ที่ใช้ในชาบูชาบู ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา เป็นต้น
- ผัก: ผักที่ใช้ในชาบูชาบู ได้แก่ ผักกาดขาว เห็ดหอม แครอท ฟักทอง เป็นต้น
- เต้าหู้ บะหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวสวย
- น้ำจิ้ม: น้ำจิ้มชาบูชาบูมีให้เลือกหลายแบบ เช่น น้ำจิ้มพอนสึ น้ำจิ้มงา เป็นต้น
วิธีการทำชาบูชาบู
- ตั้งหม้อไฟบนเตา แล้วใส่น้ำซุปลงไป
- นำเนื้อสัตว์และผักลงไปต้มจนสุก
- รับประทานเนื้อสัตว์และผักที่สุกกับน้ำจิ้ม
เคล็ดลับในการทำชาบูชาบู
- ควรเลือกเนื้อสัตว์และผักที่สดใหม่
- ควรใช้น้ำซุปที่มีรสชาติกลมกล่อม
- ควรจุ่มเนื้อสัตว์และผักลงไปในน้ำซุปพอสุกเท่านั้น เพื่อให้เนื้อสัตว์และผักยังคงความนุ่ม
- ควรรับประทานชาบูชาบูขณะที่ยังร้อนอยู่
สงสัยส่วนไหน สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ line ID @ptkss.com (กด)